ดูหนังออนไลน์ทุกแนว ชมฟรี หนังใหม่ หนังดัง อัพเดทล่าสุด
ชีวิตของ นิค ลาร์สัน (เอริค ไลฟ์ลี่) ไปได้ดีทั้งด้านการงานและความรัก งานในบริษัทอิเล็กทรอนิกส์ของเขากำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น ส่วนความรักกับศิลปินภาพถ่ายสาว จูลี่ มิลเลอร์ (เอริกา ดูแรนซ์) ก็กำลังหวานชื่น แต่ชีวิตสมบูรณ์แบบของนิคกลับต้องพลิกผันเพราะโทรศัพท์เพียงกริ๊งเดียว เมื่อ เดฟ บริสทอล (เดวิด ลูอิส) หัวหน้าของนิคโทรมาสั่งให้เขาเข้าบริษัทด่วน เพื่อเตรียมประชุมกับผู้ลงทุนในวันรุ่งขึ้น เหตุการณ์มากมายที่จะเปลี่ยนชีวิตของเขา
ไปตลอดกาลก็เกิดตามมา
รถจี๊ปของนิคติดอยู่หลังรถบรรทุกที่ขับช้า เขาหักออกด้วยความใจร้อนเพื่อแซงหน้า แต่กลับเสียหลักจนเกิดอุบัติเหตุ ผลคือจูลี่ และเพื่อนทั้งสองของเขาเสียชีวิต 1 ปีผ่านไป นิคพยายามดิ้นรนเพื่อให้ได้ชีวิตเดิมกลับคืนมา แต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น หน้าที่การงานเริ่มไม่ราบรื่น ขณะที่ บริสทอล ผู้เป็นหัวหน้ากลับรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ
และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรองประธานบริษัท อย่างไรก็ตาม บริสทอลไม่ได้ใช้อำนาจในทางที่ถูกสักเท่าไหร่
ระหว่างการประชุมกับนักลงทุน นิคเกิดอาการปวดหัวอย่างรุนแรง และมีอาการชักกระตุกแต่ไม่ถึงกับหมดสติ สาเหตุคือเขาถูกเร้าจากภาพความทรงจำ ซึ่งในกรณีนี้คือภาพถ่ายบริษัทที่มีเทรเวอร์อยู่ อาการนี้เกิดขึ้นก่อนหน้านี้แล้วครั้งหนึ่ง ตอนที่นิคนอนพักฟื้นอยู่ในโรงพยาบาลหลังอุบัติเหตุ และเกิดขึ้นอีกครั้งตอนที่เขามองรูปจูลี่
และตอนนี้เมื่อเขาจ้องรูปเทรเวอร์ ภาพนั้นก็เหมือนฉีกขาดเป็นเสี่ยงๆ นิคเหมือนควบคุมตัวเองไม่ได้ไปชั่วขณะ ภายในใจถูกความเจ็บปวด และภาพอดีตถาโถมเข้าใส่ และเมื่อความมืดเข้าครอบงำ เลือดกำเดาของเขาก็ไหลออกมาเป็นทาง
สิ่งที่นิคต้องเผชิญหลังจากนั้นคือเหตุการณ์ซับซ้อนน่าสะพรึงเกินคาดเดา ที่เกิดขึ้นเมื่อเขาย้อนเวลากลับไปเปลี่ยนอดีต ซึ่งทุกครั้งต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส อำนาจการแก้ไขอดีตกลายเป็นความท้าทายสำหรับนิค เขารู้ว่าสามารถแก้ไขอดีตได้ แต่ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะส่งผลกระทบต่อเหตุการณ์อื่นๆอย่างไร
ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่แน่ใจว่าทำออกมาในรูปของ Home Video หรือเปล่า แต่ตัวหนังทำออกมาได้ดีเกินกว่าจะเป็น Home Video ทั่วๆไปที่ผมเคยดู(ผมเพิ่งผิดหวังกับหนังภาคต่อที่ทำเป็น Home Video อย่างเรื่อง I’ll Always Know What You Did Last Summer มา)เคยสังเกตุมั้ยครับว่า ถ้าหนังเรื่องไหนที่สร้างออกมาแล้วทำเงินหรือดัง ก็มักจะมีภาคต่อตามมา แต่ก็มีให้เห็นบ่อยไปที่ภาคต่อที่ทำออกมามักจะคว่ำไม่เป็นท่า และนี่คงเป็นสาเหตุที่ The Butterfly Effect 2 เลือกที่จะเปิดตัวในรูปแบบ Home Video เนื่องจากหนังในภาคแรกที่ทำออกมาได้ค่อนข้างดีมาก หากคุณยังจำ The Butterfly Effect ในภาคแรก ผมมั่นใจว่าคุณจะต้องจดจำฉากจบของหนังเรื่องนี้ได้แน่ๆเพราะนอกจากจะเป็นฉากจบที่ไม่สามารถคาดเดาได้แล้ว หนังยังเลือกที่จะจบลงได้อย่างสมบูรณ์แบบ และทำให้เรารู้สึกรับรู้ได้เลยว่าความรักของพระเอก แอชตัน คุชเชอร์ ที่มีให้กับนางเอก เอมี สมาร์ท นั้นมีมากมายเพียงไร
The Butterfly Effect 2 เลือกที่จะดำเนินเรื่องคล้ายกับในภาคแรก คือเริ่มต้นด้วยอุบัติเหตุที่ทำให้คนรอบตัวที่พระเอก นิค ลาร์สัน รักต้องจากไป แต่หนังพยายามจะสร้างประเด็นให้เราต้องสงสัย เกี่ยวกับเหตุการณ์ก่อนการเกิดอุบัติเหตุที่ทำให้ นิค ลาร์สัน ต้องสูญเสียคนที่รักไป วันนั้นเองที่ นิค ลาร์สัน ได้พา จูลี่ ผู้หญิงที่ตัวเองรักไปในสถานที่แห่งหนึ่งที่เคยพาเธอไปมาแล้วเมื่อ 3 ปีก่อนในวันเกิดของเธอ และเมื่อวันเกิดของเธอมาถึงอีกครั้ง วันนี้ นิค เลยพา จูลี่ มาที่นี่ อีกครั้งหนึ่ง จูลี่พยายามจะบอกบางสิ่งบางอย่างกับ นิค แต่ก็ยังไม่ทันได้พูดอะไร นิคก็ต้องรีบพา จูลี่ กลับบ้าน เพราะต้องรีบกลับไปประชุมตามที่เจ้านายโทรมาสั่ง และในตอนกลับนี้เองที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุที่ทำให้จูลี่ต้องจาก นิค ไปตลอดกาล นั่นเองที่เป็นประเด็นที่ทำให้เราต้องสงสัยว่าสิ่งที่ จูลี่ ต้องการจะบอกกับ นิค คืออะไร?? ก่อนที่เราจะมารู้ในตอนท้ายของเรื่องนั่นเอง หนังเดินเรื่องใกล้เคียงกับในภาคแรกมากเพียงแต่เปลี่ยนสิ่งที่ทำให้สามรถย้อนอดีตไปได้จากสมุดบันทึก มาเป็นรูปถ่าย และทุกครั้งที่นิคเอารูปถ่ายในอดีตมาดู ก็จะสามารถย้อนกลับไปยังเหตุการณ์ในตอนนั้นได้ แต่ทุกครั้งที่แก้ไขอดีตไปนั้น ก็มักจะเกิดผลกระทบในเรื่องอื่นๆตามมา จนท้ายที่สุดแล้ว นิค ก็ตัดสินใจย้อนเวลากลับไปในวันเกิดเหตุ ในช่วงก่อนเกิดอุบัติเหตุ และบอกขอเลิกคบกับจูลี่ เพื่อให้เหตุการณ์ร้ายๆที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตนั้น ไม่เกิดขึ้น ซึ่งพอมาถึงจุดนี้ เราย่อมเห็นได้ชัดเจนเลยว่า หนังเดินเรื่องแบบชนิดที่ก๊อปภาคแรกมาแบบเต็มๆ แต่หนังเลือกที่จะขยายจุดจบของเรื่องเพิ่มขึ้นไปอีก เพราะหลังจากที่นิค ขอเลิกกับ จูลี่ จูลี่ก็ได้บอกสิ่งที่เราสงสัยมาตั้งแต่ต้นเรื่องกับ นิค หลังจากนั้น จูลี่ ก็ขับรถออกไปคนเดียวด้วยความเสียใจ พอ นิค ตั้งสติได้หลังจากฟังสิ่งที่จูลี่พูดออกมา ก็พยายามรีบขับรถตามและพยายามบอกให้จูลี่ หยุดรถ ภาพเหตุการณ์ตอนเกิดอุบัตเหตุในตอนนั้นย้อนกลับมาอีกครั้ง และการตัดสินใจของนิค ที่จะช่วยชีวิตจูลี่จากเหตุการณ์ครั้งนี้ ก็เป็นฉากจบของเรื่องนั่นเอง